“การเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาล” ทำไมทำประกันไปแล้วยังต้องเสียเงิน

#เคยเจอปัญหาเหล่านี้มั้ย?
“การเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาล”
1.ทำไมต้องสำรองจ่ายก่อน
2.ทำไมทำประกันไปแล้วยังต้องเสียเงิน
3.ทำประกันไปแล้วมันต้องฟรีหมดสิ
4.ถ้ารู้ว่าทำประกันแล้วยังต้องเสียเงิน ไม่ทำหรอก
5.,6.,…..

วันนี้ผมจะอธิบายให้ฟัง
ในแบบที่กระชับและเข้าใจง่ายๆ ภาษาบ้านๆ
#ผมจะไม่ลงรายละเอียดว่าทำไมถึงเกิดคำถามเหล่านี้
>>เพราะมันเป็นหน้าที่ของตัวแทนที่ต้องอธิบายให้ลูกค้าเข้าใจก่อนมีการตกลงกันก่อนทำประกันอยู่แล้ว ขึ้นอยู่กับว่าตัวแทนอธิบายให้ลูกค้าเข้าใจได้มากน้อยเพียงใด
>>ขึ้นอยู่กับความเข้าใจของตัวแทนว่าเข้าใจและอธิบายได้ชัดเจนมากน้อยเพียงใด

#ผมจะลงรายละเอียดพอประมาณในส่วนที่เป็น
>> “การเข้ารับการรักษาพยาบาลที่ “โรงพยาบาลเอกชน”
จะมีอะไรที่เกี่ยวข้องกับการรักษาพยาบาลในแต่ละครั้งบ้าง”
>> โดยจะยกตัวอย่างพอให้เห็นภาพ
>> “#จากเคสที่ลูกค้าไม่มีประกันชีวิต
>> ไม่เคยเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลที่นี่เลย
#ตัวอย่าง
เคสลูกค้ามีอาการ “ปวดท้องรุนแรง จำเป็นต้องผ่าตัดด่วน”
และต้องนอนที่โรงพยาบาล 3-5 คืน และติดตามผล 2-3 ครั้ง

พอไปถึงโรงพยาบาล
1.ลูกค้าติดต่อเข้ารับการรักษา > สอบถามประวัติ > อาการเบื้องต้น > สิทธิ์การรักษา กรณีนี้คือ “ผู้ป่วยนอก”
#ส่วนใหญ่กรณีนี้จะมีค่าใช้จ่าย (ลูกค้าจ่ายเอง)

2.เข้ารักการตรวจด้วยวิธีการพิเศษ เอ็กซเรย์,อุลตร้าซาวด์ อะไรก็ว่าไป
#กรณีนี้มีค่าใช้จ่ายจากการตรวจ(ลูกค้าจ่ายเอง)

3.แพทย์ผู้เชี่ยวชาญเจ้าของไข้ วินิจฉัยว่า”ต้องผ่าตัดด่วน”
เข้าห้องผ่าตัดด้วยเครื่องมือเฉพาะ (#เป็นแบบผ่าตัดใหญ่)
#กรณีมีค่าใช้จ่ายจากการผ่าตัด(ลูกค้าจ่ายเอง)

4.ผ่าตัดเสร็จเข้าพักรักษาที่ห้องพิเศษ หมอให้นอน 2 คืนเพื่อดูอาการหลังการผ่าตัดอย่างใกล้ชิด (สมมุติเป็นห้องราคากลางๆ สัก 2,500 ) มีค่าอาหาร ค่าหมอติดตามอาการ ค่าต่างๆ
รวมในค่าห้อง
#กรณีมีค่าใช้จ่ายจากการนอนห้องพิเศษ(ลูกค้าจ่ายเอง)

5.ระหว่างที่นอนพักฟื้น มีหมอเจ้าของไข้มาตรวจตามเวลา
#สมมุติว่าอาการดีขึ้นตามลำดับ
#กรณีมีค่าใช้จ่ายจากการตรวจตามเวลาของหมอเจ้าของไข้
(ลูกค้าจ่าย)

6.หมอวินิจฉัยว่าอาการดีขึ้นตามลำดับ แต่เพื่อไม่ให้มีผลข้างเคียงต่างๆ จำเป็นต้องทำกายภาพบำบัด กี่ชั่วโมงก็ว่าไป
#กรณีมีค่าใช้จ่ายจากการทำกายภาพบำบัด(ลูกค้าจ่ายเอง)

7. อาการดีขึ้นไม่น่าเป็นห่วงแล้ว เตรียมตัวออกจากโรงพยาบาล
7.1 หมอออกใบสั่งยาให้ยาไปกินที่บ้าน ตัวยาค่อนข้างดี ผลข้างเคียงน้อย คุณภาพสูง ตัวยาอยู่นอกบัญชียาตามสวัสดิการประกันสังคมและบัตรทอง
#กรณีนี้ลูกค้าเลือกตัวยาเองว่าเอายาที่ดี มีค่าใช้จ่ายจากตัวยาตามหมอสั่งและคนไข้ต้องการ(ลูกค้าจ่ายเอง)
7.2 ถึงเวลาจ่ายเงิน สมมุติว่าตัวเลขกลมของการเข้ารับการรักษาครั้งนี้รวมทุกอย่างเบ็ดเสร็จอยู่ที่.400,000 บาท
(ลูกค้าจ่ายเอง)
7.2 หมอออกใบทำนัดติดตามอาการ (Follow up) อีก 2 ครั้ง
#ทุกครั้งที่กลับมาพบหมอตามหมอนัดมีค่าใช้จ่าย(ลูกค้าจ่าย)

“การเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาล” ทำไมทำประกันไปแล้วยังต้องเสียเงิน

เอาเป็นว่าคร่าวๆพอได้เห็นภาพ
#โดยบางลำดับไม่ลงรายละเอียดมากครับ
#การรักษาบางขั้นตอนมีซับซ้อนกว่านี้มากครับ

#ทุกครั้งที่เข้าโรงพยาบาล “ไม่ฟรี”
#ทุกขั้นตอนการรักษา “ไม่ฟรี”

#สิ่งที่ต้องอธิบายให้ลูกค้าเข้าใจก่อนทำประกันสำคัญมากเช่น
#ทำประกันชีวิตแบบนี้ไป
>>คุ้มครองกรณีเสียชีวิตจากอะไรบ้าง?
>>เสียชีวิตแบบไหนไม่คุ้มครองบ้าง?
>>คุ้มครองกลุ่มโรคอะไรบ้าง?ไม่คุ้มครองโรคอะไรบ้าง?
>>ถ้าเข้าโรงพยาบาล ส่วนไหน? ที่ลูกค้าต้องจ่ายหรือไม่ต้องจ่าย เช่น
*ผู้ป่วยนอกให้ลูกค้าสำรองจ่ายก่อน เบิกคืนทีหลัง,
*ผู้ป่วยในส่วนไหนประกันจ่าย ส่วนไหนลูกค้าจ่ายเอง ส่วนไหนสำรองจ่ายบ้าง?
*ค่าห้องเท่านี้การบริการ สิทธิพิเศษ ประมาณไหนบ้าง?
>>ค่ายาประกันจ่ายหรือลูกค้าจ่าย
>>กรณีต้องทำกายภาพ ทำแบบไหน ประกันจ่ายให้หรือลูกค้าจ่ายเอง

ในการเข้ารักการรักษาพยาบาลแต่ละครั้ง
*ยังมีรายละเอียดการรักษาที่ละเอียดอีกเยอะ แตกต่างกันไปตามอาการ วิธีการรักษา ฯลฯ
# ลูกค้าต้องการการรักษาแบบไหน วิธีการแบไหน ครอบคลุมแค่ไหน
# ลูกค้าต้องการให้ใครรักษา หมอ หรือแพทย์เชี่ยวชาญเฉพาะด้าน
# ลูกค้าต้องการเกรดของตัวยา เกรดแบบไหน ฯลฯ

ต่างๆเหล่านี้ถ้าหากตัวแทนอธิบายให้ลูกค้าเข้าใจ คำถามที่ว่า
*ทำไมไม่ฟรี ทำไมต้องสำรองจ่าย ทำไมบริการไม่ดี
ก็คงไม่เกิด

ผมเชื่อว่าลูกค้าเข้าใจดีครับว่าในการทำประกัน
#ถ้าจ่ายเบี้ยถูกๆ จะได้รับการรักษาดีๆ ครอบคลุมค่าใช้จ่ายทุกอย่าง “ไม่มีหรอก”
# ถ้ามีตัวแทนบอกทำกับผมจ่ายเบี้ยถูกๆ ได้ครอบคลุมทุกอย่าง
ดีกว่าบริษัทอื่นแน่นอน อันนี้ “ไม่ใช่ล่ะ โม้แน่นอน”
# ในการทำประกัน ทุกอย่างมันต้องสมเหตุสมผล
# ถ้าอธิบายเคลียร์ตั้งแต่ต้น ถ้าตอบโจทยที่ลูกค้าต้องการได้
ถึงเบี้ยจะสูงหน่อย ลูกค้าก็ทำ