อุบัติเหตุเปลี่ยนชีวิต ยังมีความโชคดีอยู่บ้าง เพราะรถที่ไปชนก็ทำประกันชั้น1ไว้

ผมมีภรรยาและมีบุตรด้วยกัน1คน และทุกคนมาอยู่ด้วยกันพร้อมกับพ่อตาแม่ยาย ตั้งแต่ผมเริ่มทำงานที่นี้ไหม่ๆ หลังได้รับอุบัติเหตุทางรถยนต์จนต้องเป็นอัมพาตครึ่งท่อนนั่น แม่ที่อยู่ต่างจังหวัด(บ้านเกิด)ก็ต้องลงมาดูแลผม เพราะภรรยาผมต้องไปทำงาน หมอให้ผมพักฟื้นอยู่บ้าน3เดือนพร้อมกับต้องใส่ที่ช่วยพยุงหลังตลอดเวลา(ถอดได้ก็เวลานอน) ผมไม่สามารถควบคุมการขับถ่ายของเสียออกจากร่างกายได้เอง ต้องใส่สายสวนปัสสาวะจนถึงทุกวันนี้ และใส่ผ้าอ้อมผู้ใหญ่ตลอดเวลา บางทีอุจจาระไม่ออก แม่ก็ต้องเป็นคนล้วงให้ (ไม่มีแม่ไม่มีลูกผมคงไม่ได้อยู่จนถึงทุกวันนี้)

 

 
แต่ผมพักฟื้นไม่ครบ3เดือนดี ผมในฐานะหัวหน้าครอบครัวคิดต้องทำอะไรสักอย่างแล้ว (ขณะนั้นบริษัทก็สัญญาว่าจะจ้างต่อและดูแลกันต่อไปถ้ายังทำงานได้) รถที่ชนก็ยังซ่อมอยู่ ผมเลยตัดสินใจให้ภรรยาไปซื้อผ่อนคันใหม่เพื่อใช้ในการเดินทาง ผมเลยตัดสินใจไปทำงาน ก็ได้ภรรยาไปรับไปส่งเช้าเย็น และแม่ต้องคอยไปดูแลที่โรงงานด้วย ทางบริษัทก็หางานที่เป็นเอกสารให้ทำแทนงานเดิม และหาคนไหม่มาทำหน้าที่ของผมแทน แต่ให้เงินเดือนเท่าเดิม สำนักงานก็อยู่ชั้น2ไม่มีลิฟท์ น้องๆพนักงานที่อยู่ด้วยกัน ก็ดีเหลือเกินเช้าเย็นก็แบกกันขึ้นแบกกันลง ต้องขอบคุณบริษัทและพนักงานทุกคนที่ช่วยเหลือในทุกๆด้าน
 
 

ในช่วงเวลานั่นมีเรื่องมากมายที่ต้องให้คิดสับสนไป ทั้งรายจ่าย ค่าบ้าน ค่ารถ อื่นๆจิปาถะ เครียดมาก จนถึงขั้นที่จะคิดฆ่าตัวตายเพราะไม่อยากเป็นภาระของคนอื่นและสงสารแม่มากท่านไม่เคยห่างบ้านมานานขนาดนี้ แต่ก็ได้กำลังใจจากท่านและลูกชายที่เพิ่งได้3ขวบ มีคำพูดหนึ่งจากลูกชายที่ทำให้ผมสู้ต่อ “ป่อๆๆ เดินแบบนี้ อย่างนี้ แล้วผมจะช่วยให้พ่อเดินได้เอง” พร้อมขยับแข่งขยับขาท่าทางไปด้วย ผมถึงกับร้องให้โดยไม่แคร์สายตาใครๆเลย(ปกติผมเป็นคนร้องให้ยากมาก) ถึงแม้ผมจะรู้ว่าเป็นไปไม่ได้แต่ลูกยังพยายามจะช่วยผมแล้วทำไมผมถึงไม่พยายามละ ถึงแม้จะเดินไม่ได้อีกแต่เราต้องอยู่กับมันให้ได้

อุบัติเหตุเปลี่ยนชีวิต ยังมีความโชคดีอยู่บ้าง เพราะรถที่ไปชนก็ทำประกันชั้น1ไว้

ผมก็ทำงานมาเรื่อยๆ ในความโชคร้ายครั้งนี้ก็ยังมีความโชคดีอยู่บ้าง เพราะรถที่ไปชนก็ทำประกันชั้น1ไว้ รอแค่ซ่อมเสร็จ ค่ารักษาพยาบาลก็มีประกันสังคมและประกันรถยนต์ออกค่าใช้จ่ายให้ทั้งหมด (จำได้นอนโรงพยาบาลอยู่11วัน ค่ารักษาพยาบาลค่าห้องรวมๆกันก็เกือบ7หมื่นบาท) บ้านที่ซื้อไว้มีประกันคุมครองอยู่เช่นกันเลยไม่ต้องผ่อนต่อ

 

 
หลังจากทำงานครบ2ปีหลังอุบัติเหตุ (ประกันชีวิตจะจ่ายค่าสินไหมได้ ต้องมีใบรับรองแพทย์ยืนยันว่าเป็นบุคคลทุพพลภาพถาวรจริงๆ และหมอจะออกใบรับรองได้ต้องรอการติดตามผลถึง2ปี) แล้วด้วยความเป็นผู้นำของครอบครัว คิดเสมอการไม่มีหนี้เป็นลาภอันประเสริฐ ผมจึงตัดสินใจนำเงินที่ได้จากประกันชีวิตจากบริษัทไปผ่อนรถหมดในครั้งเดียว หลังจากนั่นก็หมดภาระหนี้สินทุกอย่างทันที และมีเงินนี้เหลือเก็บอยู่บ้าง แต่ไม่รู้เพราะอะไรช่วงนั้นกับทะเลาะกับภรรยาบ่อยมาก
 
 
พอหลังจากหมดภาระหนี้สินได้ไม่นาน ก็มีเรื่องให้ผมคิดขึ้นมาอีก เมื่ออยู่ดีๆภรรยาบอกจะกู้ซื้อบ้านอีกหลังซึ่งเป็นบ้านมือสองหลังติดกัน และเขาได้ไปเจรจาติดต่อมัดจำกับเจ้าของบ้านเดิมไว้แล้ว ตอนนั้นก็ไม่เอ่ะใจอะไรมาก เพราะก็คือว่าผมยังพอทำงานได้พอมีรายได้ และการซื้อบ้านคิดว่าเป็นการลงทุนอย่างหนึ่ง ผมเลยเซ็นต์เอกสารธนาคารยินยอมให้กู้ได้
 
 
ไม่ถึงสัปดาห์ผมได้เข้าไปเช๊คยอดบัญชีของผมปรากฏว่าเงินหายไป1แสนบาท ผมจึงติดต่อไปยังธนาคาร เขาบอกว่ามีการเบิกถอนผ่านหน้าเคาท์เตอร์ (ตอนนั้นทำธุระกรรมต่างๆ ผมจะให้ภรรยาทำหน้าที่แทน) ผมก็ไม่เคยไปถอนเองนี่นา จึงได้โทรถามภรรยาทีแรกบอกไม่รู้ พอชักถามไปก็บอกว่าก็ไปถอนเอาไปมัดจำบ้านหลังที่จะซื้อ เกิดทะเลาะกันบ่อยขึ้นหลายครั้งหลังเหตุการณ์นี้
 
 
หลังจากนั้นการงานภรรยาก็มีเยอะขึ้น มีโอทีให้ทำทุกวัน ไปรับไปส่งผมแล้ว แกกลับไปทำงานโอที กลับดึกๆเกือบตลอด แม้แต่วันเสาร์ก็ยังไปทำ แต่ไม่เอารถไปเอง บอกจะไปกับรถตู้รับส่งพนักงาน(โรงงานหยุดเสาร์ อาทิตย์)
 
 
วันหนึ่งด้วยความระแวงผมจึงตัดสินใจแอ๊กไลน์ภรรยา พอภรรยาผมส่งผมที่โรงงานแล้ว ผมก็เปิดไลน์เธอดู แล้วพบข้อความหนึ่ง
“คิดถึงสามีจังเลย” ข้อความจากภรรยาผม
“สามีก็คิดถึงเหมือนกัน” “เดียวเจอกันที่โรงงาน” ข้อความจากชายคนหนึ่ง
เลยทะเลาะกันใหญ่โต แต่ภรรยาผมไม่ยอมรับบอกว่าแค่เพื่อนในที่ทำงานพูดเล่นกันแบบนี้ประจำ
 
 
หลังจากนั้นผมทำทุกอย่างเฝ้าติดตามภรรยาผมตลอด ผมทนไม่ไหวจนจะบอกเลิกกับเธอ แต่จะขออยู่แบบนี้ไปอีกสัก2ปี ให้ลูกโตขึ้นพอมีความจำเกี่ยวกับพ่อได้บ้างกลัวลูกโตขึ้นแล้วจำผมไม่ได้อยากเห็นพัฒนาการของเขาบ้าง (ตอนนั้นลูกเพิ่ง4-5ขวบ)
 
 
แต่ยิ่งอยู่เหมือนยิ่งอึดอัด ทะเลาะกันเกือบทุกวัน มีญาติฝ่ายเขามาคุยให้ฟังว่าเขาอยากหย่า ผมเลยตัดสินใจหย่าให้ แบ่งทรัพย์สมบัติทุกอย่างละครึ่ง ลูกเขาขอดูแลผมไม่ขัดเพราะผมไม่สามารถเลี้ยงดูเขาได้ ผมได้บ้านหลังที่หมดหนี้ เขาเอาบ้านหลังที่กู้ไหม่ที่ติดธนาคารอยู่แต่ผมต้องชดเชยเงินบ้างส่วนให้เขา ผมก็เลยขายรถคนที่คว่ำ(รถกระบะ)ได้เงิน4แสนเอาไปให้ ผมก็ต้องกู้ซื้อรถคันไหม่แล้วไปติดตั้งแอนคอนโทรลเพื่อให้ตนเองสามารถขับไปทำงานเองได้
 
 
อยากว่าบ้านที่เขาได้ไปติดกัน พูดอะไรก็จะได้ยิน หลังจากนั้นผมก็ทำงานไปได้อีกแค่ปีเดียว ร่างกายผมเริ่มจะทรุดหนัก นั่งนานๆไม่ได้ เลยต้องขอลาออก แล้วได้เงินมาก้อน แต่ก่อนลาออกผมก็คิดว่าถ้ากลับไปอยู่บ้านนอกคงไม่สะดวกในการดำรงชีวิต(เพราะบ้านเดิมเป็นบ้านไม้2ชั้นใต้ถุนโล่งห้องน้ำก็แยกจากตัวบ้าน) ถ้าจะก่อผนังทำห้องชั้นล่างไม้ก็เก่าผุพังแล้ว เลยตัดสินใจกู้สร้างบ้าน ถ้าเอาเงินที่มีอยู่ไปสร้างเลยก็ได้ แต่รถก็ยังผ่อนอยู่ คงไม่ดีแน่เพราะไม่มีรายได้ส่วนอื่นเลย แล้วจะเอาที่ไหนไปผ่อนรถละ เลยคิดไว้ว่าน่าจะเอาเงินนี้ไปลงทุนอะไรสักอย่างน่าจะดีกว่า
 
 
หลังจากลาออกมา รอสร้างบ้านเสร็จ ผมก็ยังพักอยู่ที่ชลบุรีอยู่คอยไปรับไปส่งลูกไปโรงเรียน จะได้มีความจำที่ดีๆของลูกที่มีกับพ่อบ้าง หลังบ้านสร้างเสร็จผมก็กับมาอยู่บ้านนอก บ้านที่ชลบุรีก็ปล่อยให้เช่า
 
 
ก็ได้ค่าเช่าและลงทุนในหุ้นบ้างมาใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน และส่งเสียค่าเทอมลูกได้ไม่ขาด มาอยู่บ้านนอกได้2ปี ก็ยังพอเงินเก็บบ้างเลยเอาไปผ่อนรถงวดเดียวให้จบ จะได้มีภาระแค่บ้าน ผมก็ผ่อนเกินงวดที่กำหนดทุกเดือนๆ สิ้นปีถ้ามีเงินเก็บก็จะเอาไปโป๊ะเป็นก้อนเดียว ผ่อนมา4ปีเอง ตอนนี้ก็ไกล้จะหมดแล้ว
 
 

ชีวิตจริงๆยิ่งกว่าละคร อย่าเพิ่งท้อ อย่าสิ้นหวัง เพราะเรายังไม่รูว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร ขอให้สู้ วางแผนให้ดีก่อนทำ สักวันจะเป็นของเราเอง